ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

โรคหนองใน (Gonorrhoea)

โรคหนองใน (Gonorrhoea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Neisseria Gonorrhoea โดยแบคทีเรียชนิดนี้ ทำให้เกิดการติดเชื้อ ที่ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก ลำคอ เยื่อบุมดลูก ท่อรังไข่ และตา หากไม่ได้รักษาสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น เป็นหมัน ปวดท้องน้อยเรื้อรัง และตั้งครรภ์นอกมดลูก

สาเหตุของโรคหนองใน

โรคหนองใน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุท่อปัสสาวะในผู้ชาย และทางปากมดลูกและท่อปัสสาวะของผู้หญิง ระยะฟักตัว 1 – 14 วัน แต่ที่พบบ่อยคือ 3 – 5 วัน ส่วนมากติดต่อผ่านการเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ไม่ว่าจะทางปาก ช่องคลอดหรือทางทวารหนัก

การวินิจฉัยโรคหนองใน

    การวินิจฉัยโรคหนองใน แพทย์จะนำหนอง หรือปัสสาวะ มาตรวจ PCR จากนั้นจะนำมาย้อมหาเชื้อ และนำไปเพาะเชื้อ เพื่อตรวจสอบ ทั้งนี้แพทย์จะนำการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ร่วมด้วย

    อาการของโรคหนองใน

      อาการโรคหนองในที่มักเกิดในผู้ชาย 
      • รู้สึกปวดแสบระหว่างปัสสาวะ
      • มีหนองไหล 
      • รู้สึกระคายเคืองท่อปัสสาวะ
      • อัณฑะบวม หรือมีการอักเสบ
      อาการโรคหนองในที่มักเกิดในผู้หญิง
      • ตกขาวมีกลิ่นเหม็น 
      • เป็นหนองหรือมูกปนหนอง 
      • รู้สึกปวดแสบระหว่างปัสสาวะ
      • ปวดท้องน้อย

      โรคหนองในติดต่อกันได้อย่างไร ?

      โรคหนองใน ติดต่อกันได้จากการมีเพศสัมพันธุ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ผ่านการสัมผัสเยื่อบุช่องคลอด ช่องปาก ทวารหนัก องคชาติ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อจากมารดาไปสู่ทารกในระหว่างคลอด และผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู่อื่น

      กิจกรรมเหล่านี้ไม่ทำให้ติดโรคหนองใน ?

      • การจูบ
      • การกอด
      • การจับมือ
      • การใช้ห้องน้ำร่วมกัน
      • การใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
      • การใช้สระว่ายน้ำร่วมกัน
      • การใช้แก้วน้ำ จาน ชามร่วมกัน
      **เชื้อโรคชนิดนี้ เมื่อออกจากร่างกายแล้วจะตายค่อนข้างง่าย ดังนั้นโอกาสที่จะติดต่อกันทางอื่น นอกจากทางเพศสัมพันธ์เป็นไปได้ยาก**

      โรคหนองในป้องกันได้อย่างไร ?

      การป้องกันโรคหนองใน สามารถทำได้ง่ายๆโดยการ สวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันตัวเอง ทั้งนี้ ควรมีคู่นอนเพียงคนเดียว เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการติดต่อ โรคหนองใน และ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ

      อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

      ความคิดเห็น

      โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

      ใครบ้างที่ควรตรวจเอชไอวี ?

      การตรวจเอชไอวี ในปัจจุบันเป็นเรื่องง่าย ใครก็สามารถตรวจได้ คนไทยสามารถรับสิทธิการตรวจเอชไอวีฟรี ปีละ 2 ครั้ง จากโรงพยาบาลรัฐที่มีสิทธิประกันสุขภาพ หรือโรงพยาบาลที่คุณมีสิทธิประกันสังคม จึงทำให้การตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ทำให้กลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงเข้ารับการตรวจได้อย่างรวดเร็ว เอชไอวี คืออะไร ? เอชไอวี  (Human Immunodeficiency Virus : HIV) คือ เชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยจนเกิดความบกพร่อง โดยที่เชื้อไวรัสเอชไอวีจะทำลายเม็ดเลือดขาว CD4 ส่งผลให้มีโอกาสติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้สูงกว่าปกติ ซึ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infectious) ระยะสงบทางคลินิก (Clinical Latency Stage)  ระยะโรคเอดส์ (AIDS) ข้อดีของการตรวจเอชไอวี ตรวจเพื่อป้องกันตัวเอง ตรวจเพื่อวางแผนการมีครอบครัว ตรวจเพื่อลดความกังวลและความเครียด ในกรณีที่ตรวจพบเชื้อ ก็จะได้เข้าสู่กระบวนการรักษารวดเร็วและทันท่วงที ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่คู่นอน ป้องกันไม่ให้ไปสู่การติดเชื้อฉวยโอกาส เอชไอวี ใครบ้างที่ควรตรวจ ? การตรวจเอชไอว

      ถุงยางอนามัย เลือกซื้ออย่างไรให้เหมาะกับเรา

      ทุกคนคงทราบกันดีว่า ถุงยางอนามัย   ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้กว่า 90% และยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดีอีกด้วย แต่เป็นเฉพาะกับคนที่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องด้วยนะ เพราะยังมีอีกหลายต่อหลายคน ที่ยังเลือกซื้อถุงยางอนามัยยังไม่เป็น และยังสวมถุงยางอนามัยด้วยวิธีที่ผิด จึงคงทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และการติดโรคอย่าง เชื้อเอชไอวี ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยไม่เหมาะสมกับตัวเองนี่แหละ วันนี้ เรามีวิธีเลือกซื้อถุงยางอนามัยให้เหมาะกับตัวเอง ฉบับมือใหม่หรือแม้แต่ผู้ที่เคยใช้ถุงยางอนามัยมาหลายครั้งแล้วได้ทบทวนว่าที่ตัวเองรู้อยู่นั้นมีความถูกต้องหรือไม่ ทำความรู้จักถุงยางอนามัยกันก่อน! ถุงยางอนามัย หรือ Condom เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นิยมใช้มากที่สุดในการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากถุงยางอนามัยสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยตัวถุงยางอนามัย ที่มีจำหน่ายในร้านค้าปัจจุบันมักทำมาจากยางสังเคราะห์ และยางธรรมชาติ แบ่งขนาดออกเป็นหลายไซส์ แต่ที่มีจำหน่ายในไทยจะมีอยู่ 4 ขนาดหลักๆ ได้แก่ ถุงยางอนามัย ขนาด 49 มีขนาดความกว้าง โดยวัดจากก