ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วิธีตรวจซิฟิลิส: รู้เร็ว รักษาได้ทันเวลา

ซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่สามารถส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการป้องกันและรักษาโรคนี้ บทความนี้ จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการตรวจซิฟิลิส ความสำคัญของการตรวจ และแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพ


ซิฟิลิส คืออะไร?

ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum โรคนี้สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก รวมถึงการสัมผัสโดยตรงกับแผลซิฟิลิส นอกจากนี้ ซิฟิลิสยังสามารถถ่ายทอดจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ได้ด้วย ซิฟิลิสเป็นโรคที่มีระยะการดำเนินโรคหลายระยะ โดยแต่ละระยะมีอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกัน การรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและรักษาได้อย่างทันท่วงที

ความสำคัญของการตรวจซิฟิลิสแต่เนิ่นๆ


การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสแต่เนิ่นๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผลหลายประการ:
  • ป้องกันการแพร่กระจายของโรค: การตรวจพบเชื้อตั้งแต่ระยะแรกช่วยให้ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาทันที ลดโอกาสในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
  • รักษาได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ: ซิฟิลิสในระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ การตรวจพบเร็วจึงช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง: หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ซิฟิลิสอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ความเสียหายต่อระบบประสาท หัวใจ และอวัยวะสำคัญอื่นๆ
  • ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี: ผู้ที่เป็นซิฟิลิสมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการติดเชื้อเอชไอวี การตรวจและรักษาซิฟิลิสจึงช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
  • ป้องกันการแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารก: สำหรับหญิงตั้งครรภ์ การตรวจและรักษาซิฟิลิสช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปยังทารกในครรภ์ ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของทารก
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การตรวจซิฟิลิสจึงควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพทางเพศที่ครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

อาการของซิฟิลิส

ซิฟิลิสมีการดำเนินโรคที่แบ่งออกเป็นหลายระยะ แต่ละระยะมีอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้:

ระยะที่ 1: ระยะปฐมภูมิ (Primary Stage)

  • แผลที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก (เรียกว่า chancre)
  • แผลมักไม่เจ็บและหายได้เองภายใน 3-6 สัปดาห์
  • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงอาจบวมโต

ระยะที่ 2: ระยะทุติยภูมิ (Secondary Stage)

  • ผื่นแดงตามร่างกาย โดยเฉพาะฝ่ามือและฝ่าเท้า
  • ไข้ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย
  • ผมร่วงเป็นหย่อมๆ
  • ต่อมน้ำเหลืองบวมโตทั่วร่างกาย

ระยะแฝง (Latent Stage)

  • ไม่มีอาการแสดงใดๆ
  • สามารถตรวจพบได้จากการตรวจเลือดเท่านั้น
  • สามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้สูงมากในระยะนี้

ระยะที่ 3: ระยะตติยภูมิ (Tertiary Stage)

  • เกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อนานหลายปีโดยไม่ได้รับการรักษา
  • อาจเกิดความเสียหายต่ออวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ ตับ และกระดูก
  • อาจทำให้เกิดอัมพาต ตาบอด หรือเสียชีวิตได้
สิ่งสำคัญคือ อาการของซิฟิลิสอาจไม่ชัดเจนหรือคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ ได้ ดังนั้น การตรวจเลือดจึงเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยโรคนี้

วิธีการตรวจหาเชื้อซิฟิลิส

การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสสามารถทำได้หลายวิธี โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนี้:

การตรวจเลือด (Blood Tests)

Non-treponemal Tests

  • เช่น VDRL (Venereal Disease Research Laboratory) และ RPR (Rapid Plasma Reagin)
    • ข้อดี: ราคาไม่แพง ใช้คัดกรองได้ดี
    • ข้อจำกัด: อาจเกิดผลบวกปลอมได้ในบางกรณี

Treponemal Tests

  • เช่น FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody Absorption) และ TPHA (Treponema Pallidum Hemagglutination Assay)
    • ข้อดี: มีความจำเพาะสูง
    • ข้อจำกัด: ไม่สามารถแยกระหว่างการติดเชื้อในปัจจุบันกับการติดเชื้อในอดีตที่รักษาหายแล้ว

การตรวจจากแผล (Direct Detection Tests)

  • Dark Field Microscopy ใช้กล้องจุลทรรศน์พิเศษตรวจดูเชื้อโดยตรงจากแผล
    • ข้อดี: สามารถวินิจฉัยได้เร็วในระยะแรกของโรค
    • ข้อจำกัด: ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการตรวจ และทำได้เฉพาะเมื่อมีแผลเท่านั้น

การตรวจด้วยวิธี PCR (Polymerase Chain Reaction)

  • ใช้ตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อซิฟิลิส
    • ข้อดี: มีความไวและความจำเพาะสูง
    • ข้อจำกัด: มีราคาแพง และยังไม่เป็นที่แพร่หลายในทุกสถานพยาบาล

การตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Tests)

  • ใช้เลือดจากปลายนิ้วหรือสารคัดหลั่งในช่องปาก
    • ข้อดี: ได้ผลเร็ว (ภายใน 10-20 นาที) เหมาะสำหรับการคัดกรองในพื้นที่ห่างไกล
    • ข้อจำกัด: อาจมีความแม่นยำน้อยกว่าการตรวจเลือดแบบมาตรฐาน

การตรวจในหญิงตั้งครรภ์

  • มักใช้การตรวจเลือดเป็นหลัก
    • ข้อดี: สามารถป้องกันการแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารกได้
    • ข้อจำกัด: ต้องตรวจซ้ำในระหว่างการตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อใหม่

ขั้นตอนการตรวจซิฟิลิส

  • การปรึกษาแพทย์: พูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและอาการที่อาจเกี่ยวข้องกับซิฟิลิส
  • การซักประวัติ: แพทย์จะสอบถามประวัติทางเพศ ประวัติการเจ็บป่วย และอาการต่างๆ
  • การตรวจร่างกาย: แพทย์อาจตรวจหาร่องรอยของแผลหรือผื่นที่อาจเกี่ยวข้องกับซิฟิลิส
  • การเก็บตัวอย่าง:
    • สำหรับการตรวจเลือด: เจาะเลือดจากเส้นเลือดที่แขน
    • สำหรับการตรวจแผล: เก็บตัวอย่างจากแผลโดยตรง (ถ้ามี)
  • การส่งตรวจ: ตัวอย่างจะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อทำการตรวจวิเคราะห์
  • การรอผล: ระยะเวลาในการรอผลขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจ อาจใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่นาทีจนถึงหลายวัน
  • การแจ้งผล: แพทย์จะแจ้งผลการตรวจและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาหรือการป้องกันต่อไป

การแปลผลการตรวจซิฟิลิส

การแปลผลการตรวจซิฟิลิสอาจซับซ้อน เนื่องจากต้องพิจารณาทั้งผลการตรวจและประวัติของผู้ป่วย:
  • ผลบวก หมายถึงตรวจพบการติดเชื้อซิฟิลิส แต่อาจไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นการติดเชื้อใหม่หรือเก่า
  • ผลลบ อาจหมายถึงไม่มีการติดเชื้อ แต่ในบางกรณีอาจเป็นผลลบลวงได้ โดยเฉพาะในระยะแรกของการติดเชื้อ
  • ผลกำกวม อาจต้องทำการตรวจซ้ำหรือใช้วิธีการตรวจแบบอื่นเพิ่มเติม
สำหรับการตรวจที่ให้ผลบวก แพทย์อาจพิจารณาทำการตรวจเพิ่มเติม เพื่อยืนยันผลและประเมินระยะของโรค

ความถี่ในการตรวจซิฟิลิส

  • ผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ: ควรตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง
  • ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง: ควรตรวจทุก 3-6 เดือน ได้แก่
  • หญิงตั้งครรภ์: ควรตรวจอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ และอาจตรวจซ้ำในไตรมาสที่ 3 สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

การรักษาซิฟิลิส

การรักษาซิฟิลิสที่มีประสิทธิภาพคือการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยทั่วไปมักใช้:
  • เพนิซิลลิน: เป็นยาหลักในการรักษาซิฟิลิสทุกระยะ
  • สำหรับซิฟิลิสระยะแรก: ใช้ยาฉีดเพนิซิลลินเข็มเดียว
  • สำหรับซิฟิลิสระยะหลัง: อาจต้องฉีดยาต่อเนื่องหลายสัปดาห์
  • ยาทางเลือกอื่นๆ: สำหรับผู้ที่แพ้เพนิซิลลิน เช่น ด็อกซีไซคลิน หรือเตตราไซคลิน
ข้อควรระวัง:
  • ผู้ป่วยควรงดมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษาและหลังการรักษาจนกว่าแผลจะหายสนิท
  • ควรแจ้งคู่นอนทุกคนในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาให้มาตรวจและรับการรักษาด้วย
  • อาจเกิดปฏิกิริยา Jarisch-Herxheimer ในช่วงแรกของการรักษา ซึ่งทำให้มีไข้ หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเอง

การป้องกันการติดเชื้อซิฟิลิส

การป้องกันการติดเชื้อซิฟิลิสสามารถทำได้หลายวิธี:
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์: ถึงแม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
  • จำกัดจำนวนคู่นอน: ยิ่งมีคู่นอนน้อย ความเสี่ยงในการติดเชื้อก็ยิ่งน้อยลง
  • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ: โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีพฤติกรรมเสี่ยง
  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น: สำหรับผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด
  • การให้ความรู้: การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แก่เยาวชนและกลุ่มเสี่ยง
  • การรักษาคู่นอน: หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นซิฟิลิส ควรแจ้งคู่นอนทุกคนให้มารับการตรวจและรักษา

ผลกระทบของซิฟิลิสต่อสุขภาพ

หากไม่ได้รับการรักษา ซิฟิลิสอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพในระยะยาว:
  • ผลกระทบต่อระบบประสาท: อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ชัก อัมพาต หรือสูญเสียการได้ยิน
  • ผลกระทบต่อหัวใจและหลอดเลือด: อาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (aortic aneurysm) หรือโรคลิ้นหัวใจ
  • ผลกระทบต่อตา: อาจทำให้ตาบอดได้
  • ผลกระทบต่อกระดูกและข้อ: อาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดตามข้อต่างๆ
  • ผลกระทบต่อผิวหนัง: อาจเกิดแผลเรื้อรังที่ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน
  • เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี: แผลซิฟิลิสทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ง่ายขึ้น

ซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์

ซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์เป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทารกในครรภ์:
  • การแพร่เชื้อสู่ทารก: เชื้อซิฟิลิสสามารถผ่านรกเข้าสู่ทารกในครรภ์ได้
  • ผลกระทบต่อทารก: อาจทำให้เกิดการแท้งบุตร คลอดก่อนกำหนด ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือทารกเกิดมาพร้อมกับความพิการ
  • การตรวจคัดกรอง: หญิงตั้งครรภ์ทุกคนควรได้รับการตรวจคัดกรองซิฟิลิสอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงต้นของการตั้งครรภ์
  • การรักษา: หากตรวจพบการติดเชื้อ ควรรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะโดยเร็วที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่ทารก
  • การติดตามผล: หลังการรักษา ควรมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาได้ผล

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจซิฟิลิส

  • ถาม: การตรวจซิฟิลิสเจ็บหรือไม่?
    • ตอบ: การตรวจเลือดทั่วไปมักไม่เจ็บมาก อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเหมือนการเจาะเลือดทั่วไป ส่วนการตรวจจากแผลอาจมีความไม่สบายเล็กน้อย
  • ถาม: ต้องงดอาหารก่อนตรวจซิฟิลิสหรือไม่?
    • ตอบ: โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องงดอาหารก่อนการตรวจซิฟิลิส แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการก่อนเข้ารับการตรวจ
  • ถาม: หากเคยเป็นซิฟิลิสและรักษาหายแล้ว ผลการตรวจจะเป็นอย่างไร?
    • ตอบ: ผลการตรวจอาจยังคงเป็นบวกได้ แม้จะรักษาหายแล้ว เนื่องจากร่างกายยังคงมีแอนติบอดีต่อเชื้อซิฟิลิส แพทย์จะพิจารณาจากประวัติการรักษาและการตรวจอื่นๆ ประกอบ
  • ถาม: หากมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยง ควรรอนานแค่ไหนก่อนไปตรวจซิฟิลิส?
    • ตอบ: โดยทั่วไปควรรอประมาณ 3-6 สัปดาห์หลังการมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยง เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างแอนติบอดีที่ตรวจพบได้ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
  • ถาม: การตรวจซิฟิลิสสามารถตรวจพบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้ด้วยหรือไม่?
    • ตอบ: การตรวจซิฟิลิสเป็นการตรวจเฉพาะเจาะจงสำหรับเชื้อซิฟิลิสเท่านั้น หากต้องการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น เอชไอวี หนองใน หรือหนองในเทียม จำเป็นต้องทำการตรวจแยกต่างหาก
  • ถาม: หากผลการตรวจเป็นบวก จะต้องแจ้งคู่นอนทุกคนหรือไม่?
    • ตอบ: ใช่ ควรแจ้งคู่นอนทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้พวกเขาได้รับการตรวจและรักษาหากจำเป็น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อต่อไป
  • ถาม: การตรวจซิฟิลิสมีค่าใช้จ่ายเท่าไร?
    • ตอบ: ค่าใช้จ่ายในการตรวจซิฟิลิสอาจแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาลและวิธีการตรวจ โดยทั่วไปอาจอยู่ในช่วง 200-1,000 บาท สำหรับการตรวจเลือดพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ในบางสถานพยาบาลของรัฐหรือคลินิกนิรนามอาจให้บริการตรวจฟรีหรือราคาถูกกว่า

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
บทสรุป

การตรวจซิฟิลิสเป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลสุขภาพทางเพศ การตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆ ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงสำหรับผู้ติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการแพร่กระจายของโรคในชุมชนอีกด้วย ประเด็นสำคัญที่ควรจำ คือการตรวจเป็นประจำในผู้ที่มีความเสี่ยง เพราะโรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ หากตรวจพบในระยะแรก การใช้ถุงยางอนามัยและการมีคู่นอนที่ปลอดภัยเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของซิฟิลิสได้

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ใครบ้างที่ควรตรวจเอชไอวี ?

การตรวจเอชไอวี ในปัจจุบันเป็นเรื่องง่าย ใครก็สามารถตรวจได้ คนไทยสามารถรับสิทธิการตรวจเอชไอวีฟรี ปีละ 2 ครั้ง จากโรงพยาบาลรัฐที่มีสิทธิประกันสุขภาพ หรือโรงพยาบาลที่คุณมีสิทธิประกันสังคม จึงทำให้การตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ทำให้กลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงเข้ารับการตรวจได้อย่างรวดเร็ว เอชไอวี คืออะไร ? เอชไอวี  (Human Immunodeficiency Virus : HIV) คือ เชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยจนเกิดความบกพร่อง โดยที่เชื้อไวรัสเอชไอวีจะทำลายเม็ดเลือดขาว CD4 ส่งผลให้มีโอกาสติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้สูงกว่าปกติ ซึ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infectious) ระยะสงบทางคลินิก (Clinical Latency Stage)  ระยะโรคเอดส์ (AIDS) ข้อดีของการตรวจเอชไอวี ตรวจเพื่อป้องกันตัวเอง ตรวจเพื่อวางแผนการมีครอบครัว ตรวจเพื่อลดความกังวลและความเครียด ในกรณีที่ตรวจพบเชื้อ ก็จะได้เข้าสู่กระบวนการรักษารวดเร็วและทันท่วงที ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่คู่นอน ป้องกันไม่ให้ไปสู่การติดเชื้อฉวยโอกาส เอชไอวี ใครบ้างที่ควรตรวจ ? การตรวจเอชไอว

ถุงยางอนามัย เลือกซื้ออย่างไรให้เหมาะกับเรา

ทุกคนคงทราบกันดีว่า ถุงยางอนามัย   ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้กว่า 90% และยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดีอีกด้วย แต่เป็นเฉพาะกับคนที่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องด้วยนะ เพราะยังมีอีกหลายต่อหลายคน ที่ยังเลือกซื้อถุงยางอนามัยยังไม่เป็น และยังสวมถุงยางอนามัยด้วยวิธีที่ผิด จึงคงทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และการติดโรคอย่าง เชื้อเอชไอวี ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยไม่เหมาะสมกับตัวเองนี่แหละ วันนี้ เรามีวิธีเลือกซื้อถุงยางอนามัยให้เหมาะกับตัวเอง ฉบับมือใหม่หรือแม้แต่ผู้ที่เคยใช้ถุงยางอนามัยมาหลายครั้งแล้วได้ทบทวนว่าที่ตัวเองรู้อยู่นั้นมีความถูกต้องหรือไม่ ทำความรู้จักถุงยางอนามัยกันก่อน! ถุงยางอนามัย หรือ Condom เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นิยมใช้มากที่สุดในการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากถุงยางอนามัยสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยตัวถุงยางอนามัย ที่มีจำหน่ายในร้านค้าปัจจุบันมักทำมาจากยางสังเคราะห์ และยางธรรมชาติ แบ่งขนาดออกเป็นหลายไซส์ แต่ที่มีจำหน่ายในไทยจะมีอยู่ 4 ขนาดหลักๆ ได้แก่ ถุงยางอนามัย ขนาด 49 มีขนาดความกว้าง โดยวัดจากก