ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ยุงกัดติดเอชไอวี 2023 แล้ว! ทำไมคนยังเชื่อ?

เชื่อหรือไม่! สมัยนี้ยังมีคนคิดว่า ถ้าถูกยุงกัด ต่อจากคนที่มีเชื้อแล้ว จะสามารถติดเอชไอวีได้ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า “ไวรัสเอชไอวี” สามารถส่งต่อเชื้อได้ผ่านมนุษย์สู่มนุษย์เท่านั้น ชื่อก็ระบุไว้ชัดเจนว่า HIV หรือ Human Immunodeficiency Virus เพราะฉะนั้นความคิดที่ว่า ยุงกัดติดเอชไอวี จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

ยุงกัดติดเอชไอวี 2023 แล้ว! ทำไมคนยังเชื่อ?

เอชไอวี ติดต่อผ่านช่องทางใด

  • เลือด
  • สารคัดหลั่ง
  • น้ำหล่อลื่นอวัยวะเพศ
  • น้ำนมจากมารดาที่มีเชื้อ

เพราะเหตุใด ยุงกัดติดเอชไอวี ถึงเป็นความคิดที่ล้าหลัง

แม้ว่ายุงจะกินเลือด และสามารถส่งต่อเชื้อไข้เลือดออกได้ แต่กลไกการหาอาหารของยุง หรือแมลงส่วนมาก เมื่อคนถูกกัด ยุงจะไม่ได้ฉีดเลือดของคนก่อนหน้า ที่มันดูดเลือดไปใส่ให้คนที่กำลังกัดอยู่ รวมไปถึงเชื้อเอชไอวีเอง ก็มีความอ่อนแอสูง ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนาน ภายในตัวยุงที่ดูดเชื้อเข้าไป เนื่องด้วยลักษณะของมันเป็นแมลงที่ไม่ได้เอื้ออำนวยให้เชื้อไวรัส สามารถเจริญเติบโต หรือแพร่ขยายเชื้อได้เหมือนร่างกายคนปกติ ถ้าหากคุณถูกยุงกัดบ่อยๆ สิ่งเดียวก็ควรคำนึงว่าจะเป็น คือ โรคไข้เลือดออก โรคชิคุนกุนยา โรคไข้ซิกา โรคมาลาเรีย โรคไข้สมองอักเสบ โรคเท้าช้าง มากกว่าห่วงว่าจะติดไวรัสเอชไอวี แถมโรคเหล่านี้ยังมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าอีกด้วย

พฤติกรรมแบบไหน? ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี

  • เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
  • ใช้บริการผู้ให้บริการทางเพศ
  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยป้องกัน
  • สักหรือเจาะร่างกายด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
  • ใช้เจลหล่อลื่นไม่ถูกประเภททำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดง่าย
  • เคยตรวจพบว่าเป็นหรือกำลังเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ถุงยางอนามัยแตกรั่วขณะมีเพศสัมพันธ์ และไม่ได้รับยาต้านฉุกเฉิน

เอชไอวี ไม่เลือกเพศ

ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่ม LGBTQ เท่านั้นที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ถึงแม้ว่า การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักจะมีโอกาสติดเชื้อได้มากกว่าทางช่องคลอดปกติ เพราะไม่ใช่อวัยวะที่ถูกออกแบบมาเพื่อการนี้ แต่ทุกเพศ ไม่ว่าอาชีพ หรืออายุเท่าไหร่ ก็สามารถติดเชื้อได้ทั้งนั้น หากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ถ้ายังมีเซ็กส์ เท่ากับมีความเสี่ยงเพราะเราไม่อาจรู้หรอกว่า คู่นอนของคุณมีประสบการณ์ทางเพศที่ผ่านมาอย่างไร เขาอาจมีสัมพันธ์กับคนอื่นโดยไม่ได้บอกให้คุณรู้ หรือพลาดมีสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน เป็นเรื่องยากที่คู่รักจะเปิดใจในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้น การที่คุณระมัดระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่าแก้ปัญหาทีหลัง

เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องซับซ้อน

  • เรื่องเซ็กส์รอได้ ปฏิเสธได้ หากยังไม่พร้อม
  • ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ถ้าไม่ใช้เท่ากับเสี่ยง
  • ปรึกษาแพทย์ ทานยาเพร็พ (PrEP)  ป้องกันเอชไอวี
  • ตรวจเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
  • ทำความสะอาดร่างกายและอวัยวะเพศทั้งก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์
เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องซับซ้อน

ข้อดีเกี่ยวกับถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัย เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ช่วยป้องกันได้ทั้งการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ไวรัสเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้แก่ ซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม เริม หูดหงอนไก่ เป็นต้น จึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรที่คุณจะสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ว่ากับคู่นอนประจำ หรือคู่นอนคนใหม่ก็ตาม เพราะถือเป็นการรับผิดชอบและใส่ใจในสุขภาพทางเพศของคุณทั้งคู่ ยิ่งในปัจจุบัน ถุงยางอนามัยมีลูกเล่นมากมายหลายรูปแบบให้คุณได้เลือกซื้อ รูปลักษณะ พื้นผิว กลิ่น สี รสชาติ โดยจะต้องเลือกยี่ห้อที่ได้รับมาตรฐาน อย. และควรจะได้รับการเก็บรักษาอย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพเมื่อนำมาใช้ลงสนามจริง

ด้วยวิทยาการที่ก้าวไกลทางการแพทย์นั้น ทำให้ไวรัสเอชไอวีไม่ได้มีความน่ากลัวอย่างที่หลายคนเข้าใจผิดในอดีต แถมยังไม่สามารถแพร่เชื้อได้ ในกรณีผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส จนเข้าสู่ภาวะ U=U แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อผิดๆ อย่างการถูก ยุงกัดติดเอชไอวี ควรถูกลบออกไปจากสังคม เพื่อลดความน่ากลัวของโรคนี้ และเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้คนได้เข้าใจใหม่ว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถรักษาได้แต่ไม่เสียชีวิตครับ

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง


โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เอดส์ และ HIV รักษาได้ไหม

  HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสชนิดหนึ่งที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานโรคต่าง ๆ ได้ และอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอีกมากมายตามมาไม่ว่าจะเป็นโรควัณโรคปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคทางสมอง ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัส HIV ร่างกายมักจะเริ่มแสดงอาการต่าง ๆ ออกมาให้เห็น ภายใน 1-2 เดือน โดยจะมีอาการต่างๆ ดังต่อไปนี้ มีไข้ หนาวสั่น อาการไอเรื้อรัง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดหรือวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ผิวหนังเป็นผื่น ผิวหนังอักเสบ หรือมีรอยฟกช้ำเป็นจุด ต่อมน้ำเหลืองบวม น้ำหนักลด ท้องเสียเรื้อรัง เหงื่อออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน อาการ HIV และโรคเอดส์รักษาได้ไหม? ในปัจจุบัน ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาใด ที่ช่วยทำให้หายขาดจากการติดเชื้อ HIV หรือการป่วยเป็นโรคเอดส์ได้ 100% ซึ่งแนวทางการรักษาในปัจจุบันของทั้งผู้ป่วย HIV และโรคเอดส์ มีเป้าหมายเดียวกัน คือการฟื้นฟูภูมิคุ้มกันร่างกายที่บกพร่องของผู้ป่วย ให้กลับมาแข็งแรงเป็นปกติได้มากที่สุด โดย การใ

เราควรตรวจเอชไอวีบ่อยแค่ไหน?

                            เอชไอวีเป็นโรคที่แพร่หลัก ๆ ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ฉะนั้นถ้าจะประเมินว่า ควรตรวจบ่อยแค่ไหน ให้ ประเมินจากพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของแต่ละคน จะดีที่สุด เพราะเอชไอวีไม่ใช่โรคที่อยู่ ๆ จะติดมาเลยเพียงแค่สัมผัสร่างกายคนอื่น แต่ช่องทางการติดจะมาจาก เพศสัมพันธ์ที่ ไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการใช้เข็มฉีดยาซ้ำเป็นหลัก ช่องทางอื่นจะมาจากการที่สารคัดหลั่งใด ๆ เข้าสู่ร่างกายผ่านแผลสดขนาดใหญ่ หรือการรับเลือดของผู้มีเชื้อ แต่สองช่องทางนี้จะมีโอกาสได้น้อยมาก ทำให้เพศสัมพันธ์ยังเป็นช่องทางหลักของการแพร่เชื้อเอชไอวี ฉะนั้นหากใครที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์บ่อยมากนัก หรือมีกับคน ๆ เดียวที่คุ้นเคยกันดี ก็ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจเอชไอวีมากนัก อาจจะตรวจแค่ครึ่งปีครั้ง หรือปีละครั้งเลยก็ได้ เพราะถือว่าไม่ได้มีความเสี่ยงรับเชื้อ แต่สำหรับ คนที่มีเพศสัมพันธ์บ่อยกับคนที่ไม่รู้สถานะผลเลือด ควรเข้าตรวจเอชไอวีเพื่อรับยา PrEP ไปทานเพื่อป้องกันเอชไอวีจะดีที่สุด เพราะจะได้ไม่ต้องตรวจเอชไอวีบ่อยด้วย ที่ต้องตรวจจะมีแค่ช่วงก่อนรับยาไปทานและหลังทานยาครบในครั้งที่ 1 หรือ 2 เท่านั้น หลังจากครั้งที่ 3 เ