ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จะเป็นอย่างไร? ถ้าคุณติดเอชไอวี

หากจะพูดถึงเรื่องของการติดเอชไอวี ถือเป็นเรื่องที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะยังมีคนจำนวนมากที่ติดเอชไอวีแต่ยังไม่รู้ตัว ส่งผลเสียต่อสุขภาพและชีวิตของผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีนี้ได้ในอนาคต เนื่องจากไม่ได้รับการรักษา อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน มีการรักษาผู้ ติดเอชไอวี อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวี ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถรับมือกับโรคได้ ควบคุมเชื้อไม่ให้ลุกลามจนเกิดโรคแทรกซ้อน


เราเสี่ยงติดเอชไอวี ได้ผ่านช่องทางใด?

“ไวรัสเอชไอวี” ไม่ใช่โรคที่จะติดต่อกันได้ง่ายๆ เนื่องจากส่วนใหญ่จะติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในการเสพยาเสพติด การได้รับเลือดบริจาคที่ไม่ผ่านการคัดกรองเชื้อเอชไอวี (พบได้น้อย) หรือการที่แพทย์หรือเจ้าหน้าที่พยาบาล ถูกอุบัติเหตุจากอุปกรณ์ผ่าตัดของผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เชื้อไวรัสเอชไอวี ไม่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส  เช่น การจูบ การหอม การกอด การใช้สิ่งของ เสื้อผ้า หรือแม้แต่อุปกรณ์รับประทานอาหาร เป็นต้น

เอชไอวี กับเอดส์มีความแตกต่างกัน

เนื่องจากเอชไอวีเป็นไวรัส ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) เกิดขึ้นในกรณีที่ผู้ติดเชื้อไม่ได้ทำการรักษา โดยไวรัสเอชไอวีจะทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เกิดโรคที่มีอาการรุนแรงต่างๆ หรือที่เรียกกันว่า “โรคฉวยโอกาส” นั่นเอง อันได้แก่

วัณโรค

วัณโรค เป็นโรคติดเชื้อที่สามารถแพร่กระจายได้โดยการหายใจ เนื่องจากเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Mycobacterium tuberculosis โดยที่อาการของโรคนี้สามารถแสดงออกมาเป็นอาการไอเรื้อรังที่มีเสมหะออกมาและอาจมีไข้ เจ็บหน้าอก หรือน้ำหนักลดลงได้ โรควัณโรคสามารถรักษาได้โดยใช้ยากำจัดเชื้อแบคทีเรีย เพื่อให้เชื้อไม่สามารถเจริญเติบโตได้ แต่หากไม่ได้รักษาให้เหมาะสม โรควัณโรคสามารถก่อให้เกิดอาการรุนแรงและสามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้ ดังนั้น หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโรควัณโรคเพื่อป้องกันการแพร่กระจายต่อไป

โรคเริมที่อวัยวะเพศ

โรคเริมที่อวัยวะเพศ เป็นโรคที่เกิดจากการเจ็บของเนื้อเยื่อในช่องคลอดของผู้หญิงหรือท่อปัสสาวะของผู้ชาย โดยที่อาการที่พบบ่อยที่สุดคืออาการปวดที่อวัยวะเพศ รวมถึงอาการเจ็บเมื่อมีเคลื่อนไหวหรือมีการถูกแตะของพื้นผิว นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ เช่น อาการปัสสาวะไม่สะดวก อาการเจ็บเมื่อมีการถ่ายอุจจาระ หรืออาการเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์

สาเหตุของโรคเริมที่อวัยวะเพศอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ผ่านทางเพศสัมพันธ์หรือการสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่ติดเชื้อ โรคเริมที่อวัยวะเพศสามารถรักษาได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาปฏิชีวมวล แต่หากไม่ได้รับการรักษาทันที โรคเริมที่อวัยวะเพศอาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนและรุนแรงได้ ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโรคให้เหมาะสมเพื่อป้องกันการแพร่กระจายต่อไป

โรคปอดอักเสบ

โรคปอดอักเสบ เป็นโรคที่เกิดขึ้นในทางเดินหายใจและปอด โดยสาเหตุที่สำคัญที่สุดคือเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านทางอากาศที่เราหายใจเข้าไป เมื่อมีการติดเชื้อแล้วจะทำให้เนื้อเยื่อปอดอักเสบและมีอาการไอ มีเสมหะ ไข้ หายใจเหนื่อย หรือแน่นหน้าอก อาการนี้สามารถรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

การรักษาโรคปอดอักเสบมีการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นหลัก โดยให้ยาต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค นอกจากนี้ยังต้องดื่มน้ำเพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอและอาหารที่มีประโยชน์สำหรับสุขภาพของร่างกาย โรคปอดอักเสบสามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนที่เป็นโรคนี้ และการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่เหมาะสม และการพักผ่อนให้เพียงพอ



โรคมะเร็งบางชนิด

โรคมะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ในร่างกาย มีหลายชนิดของมะเร็งซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะและอาการที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม อาการที่พบบ่อยในผู้ที่เป็นมะเร็งได้แก่ ปวด เจ็บ บวม หรือมีก้อนที่ตำแหน่งต่างๆในร่างกาย อาเจียน หรือเบื่ออาหาร ผมร่วง น้ำหนักลดลง และอาการอื่นๆที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง

การรักษามะเร็งขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของโรค แต่ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่มีเซลล์มะเร็งออก ร่วมกับการใช้เคมotherapy, รังสีtherapy หรือตัดเซลล์เลือดเพื่อลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยการใช้ยาที่ช่วยลดอาการและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา

การป้องกันการเกิดมะเร็งได้โดยการรักษาสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่เหมาะสม ลดการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ และใช้ชีวิตที่มีการเคลื่อนไหวและออกกำลังกายสม่ำเสมอ

โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease) เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดที่อยู่ภายในสมอง โดยมีสาเหตุมาจากการตีกลับของกระแสเลือดหรือการอุดตันของหลอดเลือดสมอง โรคนี้สามารถก่อให้เกิดอาการสมองเสื่อม อัมพาต หรือการเสียชีวิตได้ จึงต้องรักษาและป้องกันโรคนี้อย่างเคร่งครัด

ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองมีคนที่มีประวัติความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น การควบคุมความดันโลหิต การออกกำลังกาย การรักษาโรคเบาหวานและเลิกสูบบุหรี่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้

อาการของโรคหลอดเลือดสมองสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อาการของโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากการตีกลับของกระแสเลือด (Ischemic stroke) และอาการของโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด (Hemorrhagic stroke) การรักษาขึ้นอยู่กับประเภทของอาการ และจะเป็นการใช้ยาเพื่อลดอาการ หรือการผ่าตัดหรือรักษาด้วยวิธีการอื่น ๆ ซึ่งจะต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์และการรักษาตามคำแนะนำของ

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ คือภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียเข้าทำลายเนื้อเยื่อของเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวรุนแรง อุจจาระเป็นเลือด ความผิดปกติของการรับรู้ สมองอาจบวมขึ้นและเสียชีวิตได้ในกรณีที่รุนแรงมากๆ การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค แต่ส่วนมากจะใช้ยาต้านไวรัสหรือแบคทีเรีย เพื่อลดอาการอักเสบและเพิ่มโอกาสในการหายของโรค

ติดเอชไอวีแล้วหรือไม่? ตรวจอย่างไร?

วิธีตรวจเอชไอวีเป็นการตรวจสอบการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีในร่างกายของบุคคล วิธีการตรวจเอชไอวีมีอยู่ 2 วิธี คือ การตรวจหาเชื้อเอชไอวีและเอดส์ในปัจจุบันสามารถทำได้โดยการเจาะเลือด เพื่อตรวจวัดปริมาณของเซลล์ CD4 ที่อยู่ในเลือด เพื่อดูว่ามีความเสียหายจากเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือไม่ โดยเซลล์ CD4 เป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังสามารถตรวจวัดปริมาณไวรัสที่อยู่ในเลือด (Viral Load: VL) และสารพันธุกรรมของไวรัส (Nucleic Acid Test: NAT) ได้อีกด้วย

อาการของคนที่ติดเอชไอวี เป็นอย่างไร

อาการของโรคเอดส์เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีและมีอาการแบ่งออกเป็น 3 ระยะดังนี้

  • ระยะแรก เริ่มต้นของการติดเชื้อ อาจมีอาการเช่นไข้, ปวดหัว, เจ็บคอ, ผื่น, ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ
  • ระยะอาการสงบ ที่ไม่มีอาการแสดงที่เด่นชัดหรืออาจไม่มีอาการป่วยเลย แต่เชื้อพัฒนาอยู่ภายในร่างกายอยู่ต่อไป
  • ระยะเอดส์ เป็นระยะที่ภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนเสียหายหนัก ทำให้เกิดการติดเชื้อและเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ และเสี่ยงต่อการเสียชีวิต โดยมีอาการสำคัญ เช่น มีไข้อยู่ตลอดเวลา, เหนื่อยล้า, หมดแรง, น้ำหนักลด, มีเหงื่อไหลตลอดทั้งคืน, ท้องร่วงเรื้อรัง, มีฝ้าสีขาว หรือแผลบริเวณลิ้นและปาก อาการเหล่านี้จะเร่งรัดและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

ขณะนี้ยังไม่มีการค้นพบวิธีรักษาเอชไอวีให้หายสนิท โดยปกติแล้วการรักษาเอชไอวีจะเน้นไปที่การควบคุมอาการและส่งเสริมสุขภาพของผู้ติดเชื้อเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสให้ไกล้เคียงกับศูนย์. การรักษาจะใช้ยาป้องกันเอดส์และยาต้านไวรัสเอชไอวีเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อ และอาจจะใช้การรักษาอื่นเช่น การเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนหรือการให้ยาประสานเสริมสร้างสุขภาพทั่วไปของผู้ติดเชื้อเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย


ไม่อยากติดเอชไอวี ป้องกันอย่างไร

  • ใช้ถุงยางป้องกันทุกระยะการมีเพศสัมพันธ์: การใช้ถุงยางเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี แม้ว่าการใช้ถุงยางไม่ได้ป้องกันโรคทางเพศอื่น ๆ แต่ก็ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีได้มากๆ
  • ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง: หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดที่ไม่ปลอดภัย เพราะเป็นการเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อเอชไอวี
  • รับการตรวจเอชไอวี: การตรวจเอชไอวีเป็นวิธีการที่สำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เพราะคนที่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสต่อไป
  • รับวัคซีนป้องกันโรคอื่น ๆ: การรับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคอื่น ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่, ไข้เหลือง, ไวรัสตับอักเสบบี เป็นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้ออื่นที่อาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีด้วย
  • ทานยาเพร็พ (PrEP) เป็นยาที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อก่อนสัมผัสเชื้อ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

สำหรับการรักษาเอชไอวี นั้นมีหลายวิธีและรูปแบบที่สามารถนำมาใช้ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความเหมาะสมของแต่ละบุคคล วิธีการรักษาหลักๆ ที่ใช้กันได้บ่อยคือ การใช้ยาเอนไซม์เอชไอวี (Antiretroviral therapy: ART) ซึ่งเป็นการใช้สารสกัดจากไวรัสเพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย การใช้ยา ART จะช่วยลดจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกายและป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสให้ไม่เกิดกับเซลล์ใหม่ ทำให้ร่างกายสามารถควบคุมเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การใช้ยากำจัดโรคหรือโรคร่วม เช่น โรคตับอักเสบ B หรือโรคเอดส์ที่เป็นภัยต่อสุขภาพ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่อเนื่อง เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ หรือการหยุดสูบบุหรี่ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การรักษาเอชไอวีไม่ใช้วิธีการรักษาที่มีขั้นตอนเดียวกันสำหรับทุกคน


โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ใครบ้างที่ควรตรวจเอชไอวี ?

การตรวจเอชไอวี ในปัจจุบันเป็นเรื่องง่าย ใครก็สามารถตรวจได้ คนไทยสามารถรับสิทธิการตรวจเอชไอวีฟรี ปีละ 2 ครั้ง จากโรงพยาบาลรัฐที่มีสิทธิประกันสุขภาพ หรือโรงพยาบาลที่คุณมีสิทธิประกันสังคม จึงทำให้การตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ทำให้กลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงเข้ารับการตรวจได้อย่างรวดเร็ว เอชไอวี คืออะไร ? เอชไอวี  (Human Immunodeficiency Virus : HIV) คือ เชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยจนเกิดความบกพร่อง โดยที่เชื้อไวรัสเอชไอวีจะทำลายเม็ดเลือดขาว CD4 ส่งผลให้มีโอกาสติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้สูงกว่าปกติ ซึ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infectious) ระยะสงบทางคลินิก (Clinical Latency Stage)  ระยะโรคเอดส์ (AIDS) ข้อดีของการตรวจเอชไอวี ตรวจเพื่อป้องกันตัวเอง ตรวจเพื่อวางแผนการมีครอบครัว ตรวจเพื่อลดความกังวลและความเครียด ในกรณีที่ตรวจพบเชื้อ ก็จะได้เข้าสู่กระบวนการรักษารวดเร็วและทันท่วงที ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่คู่นอน ป้องกันไม่ให้ไปสู่การติดเชื้อฉวยโอกาส เอชไอวี ใครบ้างที่ควรตรวจ ? การตรวจเอชไอว

ถุงยางอนามัย เลือกซื้ออย่างไรให้เหมาะกับเรา

ทุกคนคงทราบกันดีว่า ถุงยางอนามัย   ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้กว่า 90% และยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดีอีกด้วย แต่เป็นเฉพาะกับคนที่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องด้วยนะ เพราะยังมีอีกหลายต่อหลายคน ที่ยังเลือกซื้อถุงยางอนามัยยังไม่เป็น และยังสวมถุงยางอนามัยด้วยวิธีที่ผิด จึงคงทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และการติดโรคอย่าง เชื้อเอชไอวี ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยไม่เหมาะสมกับตัวเองนี่แหละ วันนี้ เรามีวิธีเลือกซื้อถุงยางอนามัยให้เหมาะกับตัวเอง ฉบับมือใหม่หรือแม้แต่ผู้ที่เคยใช้ถุงยางอนามัยมาหลายครั้งแล้วได้ทบทวนว่าที่ตัวเองรู้อยู่นั้นมีความถูกต้องหรือไม่ ทำความรู้จักถุงยางอนามัยกันก่อน! ถุงยางอนามัย หรือ Condom เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นิยมใช้มากที่สุดในการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากถุงยางอนามัยสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยตัวถุงยางอนามัย ที่มีจำหน่ายในร้านค้าปัจจุบันมักทำมาจากยางสังเคราะห์ และยางธรรมชาติ แบ่งขนาดออกเป็นหลายไซส์ แต่ที่มีจำหน่ายในไทยจะมีอยู่ 4 ขนาดหลักๆ ได้แก่ ถุงยางอนามัย ขนาด 49 มีขนาดความกว้าง โดยวัดจากก